"ไม่เคยคิดจะเป็นตัวแทนประกันชีวิตมาก่อนเลย เพราะมองภาพแล้วมันไม่ใช่ตัวเรา " คุณยุพาวดี พิทักษ์

Print

 คุณยุพาวดี พิทักษ์

รองผู้อำนวยการฝ่ายขาย

 

           สำนักงานของตัวแทนนครตรังแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.ตรัง โดยอยู่ในการบริหารดูแลของคุณยุพาวดี พิทักษ์ เจ้าของสำนักงานตัวแทน และรองผู้อำนวยการฝ่ายขาย ของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด

  ชีวิตคือการต่อสู้

 

            “ดิฉันเป็นคนจังหวัดตรังค่ะ มีพี่น้อง 3 คน ครอบครัวเราทำนาทำสวน ฐานะทางบ้านยากจนมาก คุณแม่จึงส่งลูกๆ เรียนได้แค่ ม.6 ดิฉันต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อที่จะได้เรียนต่อ จนได้งานพาสทามที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ทำงานตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม กว่าจะได้พักก็ตี 1 เช้าก็ตื่นไปเรียนหนังสือต่อ ได้เงินวันละ 70 บาท ทำแบบนี้อยู่ถึง 4 ปี จนจบปริญญาตรีและได้บรรจุเข้าทำงานที่โรงแรมแห่งนั้นเลย ตอนนั้นยังคิดอะไรไม่เป็น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบอะไร รู้แต่ว่าอยากมีเงินเยอะๆ เพราะเราลำบากมาก่อน ที่มาทำงานโรงแรมเพราะเคยทำมา แต่พอทำไปได้ 2 ปี ก็รู้ว่างานนี้มันไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ เพราะเงินเดือนแค่หมื่นกว่าบาทคงไม่มีโอกาสรวยแน่จึงตัดสินใจลาออก ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรต่อ เลยกลับมาอยู่บ้านที่ จ.ตรัง และไปหาสมัครงานที่จะได้เงินเยอะกว่าเดิม แต่ก็หาไม่ได้ เลยตัดสินใจมาสมัครเป็นเลขาฯ ของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ชั่วคราว คิดไว้ว่าจะทำไปก่อนเดี๋ยวค่อยไปหางานใหม่”

ก้าวเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต

            “ดิฉันไม่เคยคิดจะเป็นตัวแทนประกันชีวิตมาก่อนเลย เพราะมองภาพแล้วมันไม่ใช่ตัวเรา ในความคิดแรกของดิฉันนั้น คนขายประกันต้องเป็นคนเก่ง พูดเก่ง กระตือรือร้น แอ็คทีพทุกอย่าง ซึ่งตัวเรามันไม่ใช่ ดิฉันเป็นคนขี้อาย มนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นก็ค่อนข้างน้อย แต่หลังจากมาทำงานเป็นเลขาฯ อยู่ที่นี่ทำให้เราเห็นรายได้และผลประโยชน์ของตัวแทนต่างๆ ที่เข้ามาเยอะมากมาย บางคนได้หลักหมื่นหรือหลักแสน ทั้งๆ ที่จบวุฒิแค่ ม.6 หรือ ม.3 แต่พอมานึกเปรียบเทียบถึงรายได้ปริญญาตรีของตัวเองซึ่งได้เดือนละ 5,000 บาท แต่โชคดีตรงที่ดิฉันได้หัวหน้าเก่ง คือเขารู้ว่าจะเทรนเรายังไง หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเรายังไง โดยกุสโลบายของหัวหน้าก็คือ ทุกครื้งที่มีการประชุมดิฉันต้องไปนั่งฟังทุกครั้งในฐานะเลขา และไปดูแลตัวแทนต่างๆ ที่มาอบรม ซึ่งเวลาประชุมก็จะมีวิทยากรเก่งๆ มากมายมาพูดเพื่อกระตุ้นความคิดของเรา คำพูดเด็ดเหล่านั้น สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนเราได้ เช่น ทำไมคนเรามีเวลา24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ศักยภาพการบริหารเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนสามารถทำรายได้วันละสองร้อยสามร้อย บางคนสองพันสามพัน แต่บางคนอาจทำได้ถึงสองหมื่นสามหมื่น หรือมากกว่านั้น ทั้งหมดมันอยู่ที่ความคิด ถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิดตรงนี้ ชีวิตเราก็คงไม่เปลี่ยนแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมาจากความคิดก่อนเป็นสิ่งแรก พอเราฟังหลายๆ ครื้งเข้าก็รู้สึกว่ามันใช่นะ ก็เริ่มซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ และคิดว่าอยากจะลองขายประกันดูบ้าง เผื่อจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และจากการเป็นเลขาฯ จึงมีความชำนาญในเรื่องแบบประกันและสัญญาต่างๆ จึงไปขอให้หัวหน้าช่วยสอนว่าเราจะต้องเริ่มต้นขายยังไง ไปคุยยังไง ซึ่งหัวหน้าก็ยินดีสอนด้วยความเต็มใจ โดยไม่เคยบังคับเลยว่าเราต้องขายให้ได้”

 หัวใจของนักขายคือการทำงานอย่างต่อเนื่อง

           “การเป็นตัวแทนเต็มตัว มันเป็นอะไรที่เหมือนเราทุบหม้อข้าวตัวเองไปแล้ว มีงานอยู่แค่อย่างเดียวเลยต้องทำมันทุกวัน สไตล์การทำงานของดิฉันค่อนข้างจากคนอื่น เพราะดิฉันทำงานเหมือนกับกินเงินเดือนปกติเลย เช่น เริ่มงาน 8 โมงเ ช้า เข้ามาที่สำนักงาน มานั่งคุยนั่งปรึกษากับหัวหน้า พอ 10 โมงก็ออกตลาด กว่าจะกลับถึงบ้านก็ 2 – 3 ทุ่ม ซึ่งที่บ้านไม่เคยรู้เลยว่าได้ลาออกจากงานเลขาแล้ว เพราะดิฉันให้เงินทางบ้านเป็นปกติเดือนละ 1,500 บาท เดือนแรกที่เริ่มขายมีลูกค้า 3 ราย ได้ค่าคอมมาหมื่นกว่าบาท เท่ากับเงินเดือนตั้ง 3 เดือน เลยเริ่มคิดว่าอาชีพนี้มันน่าจะทำให้เรารวยได้ เลยขอหัวหน้าลาออกจากตำแหน่งเลขาฯ และมาเป็นนักขายเต็มตัว ซึ่งการทำงานตรงนี้ก็มีได้มากบ้างน้อยบ้างเป็นบางวัน จนผ่านไปประมาณ 6 เดือน ก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจากเดิมที่ต้องขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงาน ระยะทางประมาณ 60-70 กิโล ก็บอกที่บ้านว่าจะเปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ ที่บ้านก็ตกใจ เขาไม่เข้าใจว่าเราจะซื้อได้ยังไงกับเงินเดือนเลขาฯ เพียงน้อยนิด ดิฉันเลยเอาสมุดบัญชีให้ดู และอธิบายให้เขาฟังว่า ที่เรากลับบ้านดึก เสาร์อาทิตย์ก็ไม่เคยอยู่บ้าน เพราะเราหันมาทำงานเป็นตัวแทนประกันชีวิต เพียงแค่ 6 เดือน รายได้ตรงนี้ทำให้มีเงินเก็บอยู่ถึงแสนแปดกว่าๆ หลังจากที่ดาวน์รถได้ 2 ปีก็ผ่อนหมด และนั่นคือรถคันแรกที่ได้จากการขายประกันในชีวิต”

ตัดสินใจเปิดสำนักงานของตัวแทน

            “ตอนนั้นดิฉันเป็นผู้จัดการภาค รายได้อยู่ประมาณ 7-8 หมื่น หรือสักแสนนี่ก็เรียกว่าหรูแล้ว มีบ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน มีซื้อทรัพย์สินอื่นๆ ไว้บ้างเล็กน้อย แค่นั้นก็รู้สึกพอใจแล้ว ไม่ได้คิดที่จะต้องเปิดสำนักงานตัวแทน เพราะตอนนั้นขึ้นอยู่กับเซ็นเตอร์มันก็สบายดีไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เราทำแต่ตัวเลขเท่านั้น แต่บุคคลที่มาจุดประกายความคิดว่าการเปิดสำนักงานตัวแทนจะทำให้เรามีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า คือ ผอ.วิกร ฐิติกวิน ก็ไม่รู้ว่าท่านเห็นอะไรที่คิดว่าดิฉันสามารถโตได้มากกว่านี้ อาจจะเห็นจากที่เราขยัน และทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ท่านจึงพยายามกระตุ้นและใส่ความคิดให้ดิฉันอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเรามีศักยภาพพอที่จะสามารถขึ้นไปได้สูงกว่านี้ ตอนนั้นดิฉันมีหน่วยอยู่แค่ 3 หน่วย คือหน่วยของตัวเองและหน่วยใต้อันเดอร์อีก 2 หน่วยและมียอดอยู่ที่ประมาณ 3 ล้าน 6 ผอ.วิกร จึงสอนวิธีการต่างๆ ในการสร้างทีม เพื่อที่จะได้แตกทีมออกไปให้มากที่สุด ตลอดระยะเวลา 6 เดือนนั้น ดิฉันสามารถสร้างหน่วยขึ้นมาจนได้ขึ้นตำแหน่ง AVP และหลังจากเป็น AVP ที่เซอร์วิสเซ็นเตอร์ได้ปีกว่า ปิดยอดไปได้ 19 ล้าน ผอ.วิกรก็มากระตุ้นดิฉันอีกว่าดิฉันทำรถหายไปปีละคันเลยนะ ท่านก็มาคิดตัวเลขให้ดิฉันดูว่าดิฉันทำเงินหายไปเท่าไร เพราะการเปิด AO จะได้ยอดเพิ่มขึ้นอีกถึง 8 เปอร์เซนต์ อย่างเดือนถัดมาดิฉันทำยอด 2 ล้าน ถ้าดิฉันมีสำนักงานเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละเป็นแสน แต่ด้วยความที่เราเองไม่เคยคิดตรงนี้ ผอ.จึงมาขายความคิดเรื่องการทำสำนักงาน ซึ่งตอนแรกดิฉันก็กลัวว่าการมีสำนักงานตัวแทนมันต้องรับผิดชอบเยอะ เรายังไม่พร้อมที่จะดูแล เพราะดิฉันเป็นคนที่ไม่อยู่ติดสำนักงาน พอเคลียร์งานเสร็จก็จะออกไปหาลูกค้าข้างนอกตลอด แต่หลังจากปรึกษากับท่าน ผอ ท่านก็แนะนำให้ดิฉันหาคนอื่นที่ไว้ใจได้มาช่วยดูแลแทน จึงให้น้องชายที่เรียนจบแล้วมาช่วยบริหารสำนักงาน เป็นหู เป็นตาแทนดิฉัน

การเลือกทำเลที่ตั้งสำนักงาน

           “ตอนแรกที่ดูจะเป็นตึกในเมือง ราคาอยู่ที่ 10 ล้านขึ้นทั้งนั้นเลย ผอ.จึงให้คำแนะนำมาอีกว่า ถ้าเราหาซื้อที่แล้วสร้างเองจะประหยัดกว่าสุดท้ายก็มาได้ที่ตรงนี้ เป็นถนนบายพลาสเลี่ยงเมือง ที่ตรงไปจะออกพัทลุง กว้าง 12 เมตร ยาว 30 เมตร ส่วนรูปแบบดิฉันก็ให้ผู้รับเหมารับผิดชอบไปเลย เราเพียงบอกความต้องการของเราไปว่าขอแบบโล่งๆ ใช้เวลาก่อสร้าง 7 เดือนรวมเบ็ดเสร็จทั้งราคาที่ดินและการก่อสร้างทั้งหมดอยู่ที่ 5.7 ล้านบาท และเปิดเป็นสำนักงานตัวแทนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 มีหน่วยอยู่ 25 หน่วย จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็เปิดมาได้ 2 ปีกว่าแล้วค่ะ”

สไตล์การทำงานและหลักการบริหาร

           “สำนักงานของเราจะอยู่กันแบบพี่ปกครองน้อง เป็นเสมือนครอบครัวใหญ่ ถ้าถามถึงการทำงาน ดิฉันไม่ได้มีความเก่งกาจอะไรมากมาย แต่ถ้าถามว่าดิฉันได้ใจลูกน้องไหม คำตอบคือได้ พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นหลาน เหลน โหลน ดิฉันให้ความรักเท่ากันหมด หลักอย่างเดียวที่ดิฉันยึดถือมาโดยตลอดคือ เราต้องได้ใจเขามา ให้เขามีความรู้สึกรักเรา แต่ถ้าลูกทีมคนไหนมีโอกาสที่จะก้าวออกไปเติบโต ดิฉันก้พร้อมสนับสนุนเต็มที่ อย่างทีมงานของคุณธนาพร หลังจากเปิดสำนักงานได้ 3 เดือน ก็ก้าวออกไปเปิดสำนักงานเป็นของตัวเองอีกแห่งหนึ่ง ดิฉันก็ยินดี เพราะถึงยังไงเราก็ต้องสร้างทีมใหม่เข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้มีทีมงานทั้งหมดอยู่ 33 หน่วย ในส่วนตรงนี้ดิฉันพยายามจะบอกกับทุกคนตลอด ว่าเราต้องเข้าใจธรรมชาตของงานประกัน เมื่อได้มาแล้วก็ต้องมีหลุดออกไปจากวงโคจรบ้าง แต่ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ จะต้องไม่หยุดสร้างคน ต้องหาอยู่ตลอด ดิฉันอยู่ตรงนี้มา 18 ปี คนที่เราสร้างมาเยอะมาก แต่ที่หลุดไปก็เยอะ คือดิฉันจะปลูกฝังในเรื่องของการสร้างคนตลอด ไม่ใช่ว่าได้มา 5 คนแล้วหยุด มันไม่ได้ ซึ่งทั้ง 5 คนโอกาสที่จะหลุดออกไปจากอาชีพก็มีเยอะ เราถึงต้องหาคนใหม่มาเสริมตลอดเวลา”

กิจกรรมในสำนักงาน

           “กิจกรรมรวมทุกอย่างส่วนใหญ่เราจะทำที่สำนักงานแห่งนี้ แต่ก็มีส่วนกิจกรรมที่เข้ามาเสริม คือทุกวันอาทิตย์ เราจะมีสโมสรเพื่อรวมกิจกรรมรวมของทั้ง 2 AVP ใต้สังกัด และกิจกรรม PDP หรือ JumpStart ก็จะไปรวมกับของ DVP คุณปรารถนา กิจกรรม Camp ก็จะมีไตรมาสละครั้ง รวมถึงกิจกรรม Year Plan ตัวแทนที่เขาเข้าร่วมกิจตกรรมบ่อยๆ สังเกตุได้ว่าเขาจะไม่ค่อยหลุดออกไปจากอาชีพสักเท่าไร แต่ถ้าไม่มาร่วมกิจกรรม เมื่อเขาขายไม่ได้ก็จะรู้สึกท้อ พอไม่มีใครให้คำแนะนำก็จะค่อยๆ ออกไป แต่สำหรับคนที่ขายไม่ได้แต่มาร่วมกิจกรรม ก้จะได้พลังกลับไปฮึดสู้ต่อ ดิฉันจะปลูกฝัง AL ทุกคน ยังไงก้ต้องมีกิจกรรม เพราะกิจกรรมจะนำมาซึ่งผลผลิตต่างๆ ดิฉันจะเป็นตัวหลักในการทำกิจกรรมเสมอ และทุกกิจกรรม ก็จะดึงทั้ง 2 AVP เข้ามาร่วมในการตัดสินใจด้วยตลอด”

ปัญหาและอุปสรรค

           “ปัญหามันต้องมีอยู่แล้ว การทำงานกับคนย่อมต้องมีปัญหาเสมอ แต่ทุกปัญหามันก็ต้องมีทางแก้ อันไหนแก้ไม่ได้ก็วางไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาดูใหม่ ทุกอย่างแก้ได้หมด มันไม่มีอะไรรุนแรงจนแก้ไม่ได้เพียงแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน เราต้องรู้ว่าเขาต้องการอะไร และเราสามารถตอบสนองเขาได้แค่ไหน ไม่ใช่ยึดเอาความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว การทำงานอยู่ในหน่วยงานหรือองคืกรที่มีคนจำนวนมาก เรื่องกระทบกระทั่งกันมันก็ย่อมต้องมี อย่าง AL ใหม่บางคน พอเจอปัญหาแล้วเขาจะเคลียด และไม่อยากทำต่อ เราก้ต้องอธิบายว่า การทำงานตรงนี้ ถ้าคุณคิดจะทำเป็นมันก็ต้องอดทน สำคัญที่สุดคือเราจะเป็นหัวหน้าเขาต้องอยู่ในความเป็นกลาง จะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกก้ว่าไปตามถูก”

โครงการในอนาคต

           “สำหรับการรีครูตที่ภาคใต้นี้ สำนักงานของเราจะติดอันดับตลอดในเรื่องของจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น อย่างคุณวุฒฝรั่งเศส เราก็สามารถพิชิตได้ 9 ที่นั่ง ซุ้งได้จาก PC 2 ที่นั่ง ที่เหลือเป็น NEW CODE หมด 7 ที่นั่ง ตอนนี้ดิฉันได้เป็น DVP แล้ว ก็อยากจะเลื่อนตำแหน่งเป็น VP คิดไว้ว่าอีกสักปี หรือต้นปี 2557 จะพยายามขึ้น VP ให้ได้เพราะตอนนี้ยังต้องสร้างทีมงานเพิ่มขึ้นอีกเยอะ”

ข้อดีของการเปิดสำนักงานตัวแทน

           “การมีสำนักงานตัวแทนเป็นของตัวเองทำให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เพราะเราเปรียบเมือนเป็นเจ้าของกิจการ สามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ตามความต้องการ ถึงจะเหนื่อย แต่รายได้ก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะหลังจากที่เปิดสำนักงาน ดิฉันได้บ้านเพิ่มอีก 1 หลัง ราคาประมาณ 4.5 ล้าน ซึ่งถ้าเทียบกับอาชีพอื่น ลงทุนไป 5.7 ล้านภายใน 2 ปีเก็บได้ 4-5 ล้านมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาชีพนี้สามารถทำให้เราได้ นอกจากนี้ การเป็นเจ้าของสำนักงาน ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น อย่างลูกค้าส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าที่เรากลับไปขายใหม่ บางรายดิฉันสามารถปิดเป็น Bigcase ได้เลย เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นมืออาชีพ มีหลักฐานที่มั่นคง แต่ถ้าเป็นลุกค้าใหม่ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากลูกค้ากลุ่มเก่าที่ต่อตลาดให้กับเรา ถึงบอกว่าโซ่ไม่มีปลายก็ตรงนี้แหละ เพียงแค่คุณบริการดูแลเขาให้ดี ให้คำปรึกษายามที่เขาต้องการ เราก็ไม่ต้องไปหาลูกค้าเพิ่มที่ไหนไกล แค่นี้ก็ทำมาหากินได้ตลอดชีวิตแล้ว”

ประสพความสำเร็จในธุรกิจประกันชีวิต

           “ทุกวันนี้ก็ถือว่าประสพความสำเร็จในระดับหนึ่ง ถ้าเทียบกับวันแรกที่เข้ามา จากฐานชีวิตที่แทบติดลบด้วยซ้ำ แต่ในระยพเวลา 18 ปีที่เราอยู่ในอาชีพนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสคนอื่น ธุรกิจประกันชีวิตมันมีเสน่ห์อย่างหนึ่งคือ เราอยู่เราได้ และเราก็มีโอกาสที่จะให้คนอื่นเขาได้ด้วย อาชีพนี้มันให้โอกาสกับใครอีกหลายๆ คน”

คำแนะนำสำหรับตัวแทน

           “ดิฉันเข้าใจว่าหลายคนมองอาชีพประกันชีวิตเป็นอาชีพสุดท้ายที่จะนึกถึง แต่จริงๆ อยากจะบอกว่า คุณควรมองประกันชีวิตเป็นอาชีพแรกด้วยซ้ำ คุณควรเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่คนในไม่อยากออก คนนอกไม่อยากเข้า เพราะมองเข้ามาอาจคิดว่ายาก แต่ถ้าคนที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิตจะรู้เลยว่า สุดท้ายของความยากลำบาก ผลตอบแทนมันสุดยอดมาก อยากบอกน้องๆ ทุกคน ควรเปิดโอกาสให้กับตจัวเอง โอกาสเมื่อมาถึงแล้ว คุณไม่คว้าเอาไว้ ประเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ถ้าเราเปิดโอกาส มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงเราได้ทุกอย่างเลย มหัศจรรรย์จริงๆ ค่ะ”

ฝากคำขอบคุณ

          “คนแรกที่สุดที่ดิฉันอยากขอบคุณคือคุณพ่อในอาชีพ คุณมังกร ทับเที่ยง ซึ่งตอนนี้ท่านออกจากธุรกิจไปแล้วเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ท่านต่อมาคือคุณครูทุกคนในธุรกิจประกันชีวิตที่ได้ประสาทวิชาให้กับดิฉัน อีกท่านคือ คุณสรรค์ชัย ลาภสัมปันน์ชัย ดิฉันชอบ New Life ของท่าน ท่านสอนให้เราดึงศักยภาพที่อยู่ในตัวเราออกมาใช้ เป็นตัวที่เปลี่ยนความคิดได้สุดยอดมากเลย และขอขอบคุณผู้นำภาคใต้ ท่าน ผอ.วิกร ฐิติกวิน ท่านคือคนที่จุดประกายให้ทุกอย่าง ทำให้เรากล้าที่จะโตในอาชีพ กล้าที่จะเป็นเจ้าของกิจการ สำคัญที่สุดก็คือทีมงานจุติวัฒน์ และธนสาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 914 กลุ่ม 921 หรือ 924 พวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันทำงานตลอด เพราะลำพังคงทำคนเดียวไม่ได้ ขอบคุณบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ที่เปิดโอกาสให้กับทุกๆ คน ทำให้พวกเราได้อยู่ดีกินดี ร่ำรวบกันได้ถ้วนหน้า ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”

          ความตั้งใจ มุ่งมั่น และเปิดโอกาสให้กับตัวเอง อาจเป็นหนทางที่ทำให้คุณค้นพบความสำเร็จ เราขอเป็นหนึ่งรีงใจ ที่ทำให้คุณก้าวหน้าในธุรกิจประกันชีวิตต่อไป

ข้อมูลจาก นิตยสาร Start , Volume 7 Issue 3 November 2012