SUPREME 24

           นายไบรอัน สมิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ ที่ทุกช่องทางสามารถผลิตเบี้ยประกันภัยรับรวมได้เติบโตต่อเนื่อง โดยยอดเบี้ยประกันภัยรับรวมจากทุกช่องทางมีมูลค่าสูงถึง 14.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบี้ยประกันภัยรับปีแรกขยายตัวต่อเนื่องแตะ 3.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

             ส่วนรายได้ทั้งหมดมาจาก 3 ช่องทางหลัก คือ ช่องทางตัวแทน ซึ่งเป็นช่องทางที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัทฯ มาตลอด มียอดเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 9.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ทำเบี้ยประกันภัยรับรวมได้สูงถึง 2.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% และช่องทางการตลาดขายตรงที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของช่องทางดังกล่าวในตลาดประกันชีวิตไทย มียอดเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 2.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
             “สถาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี เราเชื่อมั่นว่าหลังจากวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศจะมีมากขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะถูกขับเคลื่อนออกมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2555”
            “การเติบโตอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตและมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้นในปีต่อๆ ไป ทั้งนี้ อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. มุ่งมั่นที่จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะคอยคุ้มครองทุกครอบครัวไทยให้ได้รับความอุ่นใจในทุกช่วงจังหวะของชีวิต โดยให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการของธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนให้สมกับสโลแกนในปีนี้ที่ว่า อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. 60 ปีแห่งความไว้วางใจ เคียงข้างคนไทยทุกจังหวะชีวิต จึงมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 60 ปีที่ยิ่งใหญ่”
            สำหรับธุรกิจของกลุ่มอลิอันซ์ เยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต ในไตรมาส 3 ปี 2554 อลิอันซ์ยังคงมีรายได้ในระดับสูง และบรรลุผลการดำเนินงานที่ทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งไว้ได้ แม้จะมีการชะลอตัวของตลาดตราสารทุน และวิกฤตหนี้สาธารณะที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มอลิอันซ์สามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 24.1 พันล้านยูโร (หรือคิดเป็น 1.03 ล้านล้านบาท) ลดลงเพียง 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปีที่ผ่านมา
            กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.9 พันล้านยูโร (80.84 พันล้านบาท) ลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในเป้าหมาย ทั้งนี้กำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากการลดลงของผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพเมื่อเทียบกับปี 2553 ในส่วนของธุรกิจประกันวินาศภัย กำไรจากการดำเนินงานยังคงมีเสถียรภาพ ขณะที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ยังคงประสบความสำเร็จและมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
            กำไรสุทธิประจำไตรมาสอยู่ที่ 0.3 พันล้านยูโร (12.76 พันล้านบาท) เมื่อเทียบกับ 1.3 พันล้านยูโร (55.31 พันล้านบาท) ที่ทำได้เมื่อปีก่อน ส่วนการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 0.9 พันล้านยูโร (38.29 พันล้านบาท) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการลงทุนในภาคการเงินและจากวิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศกรีซ นอกจากนี้ อัตราภาษีที่แท้จริงของกลุ่มอลิอันซ์ยังได้เพิ่มขึ้น 60% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 34.4% ในไตรมาสที่สามของปีที่แล้ว เนื่องจากเงินลงทุนที่ลดลงไม่ได้รวมการพิจารณาภาษีเข้าไปด้วย
            ทั้งนี้ อลิอันซ์ยังคงมีฐานะของเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุน (Solvency Ratio)[1] อยู่ที่ 179% เกือบไม่เปลี่ยนแปลงจาก 180% ณ สิ้นไตรมาสที่สอง สัดส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 2.2% มาอยู่ที่ 43.6 พันล้านยูโร (1.85 ล้านล้านบาท) ในช่วงเวลาเดียวกัน
            นายโอลิเวอร์ เบท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของอลิอันซ์ เอสอี กล่าวว่า “ทุกบริษัทในตลาดต่างต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความผันผวนที่สูงของตลาดทุน แต่เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมและฐานะของเงินทุนที่แข็งแกร่งอย่างไม่เปลี่ยนแปลงของเรา ส่งผลทำให้อลิอันซ์สามารถทนทานต่อภาวะวิกฤตเช่นนี้ได้ ยิ่งกว่านั้นเรายังคงมุ่งมั่นที่จะพิชิตเป้าหมายด้านผลกำไรจากการดำเนินงานในปี 2554 ซึ่งตั้งไว้ที่ 8.0 พันล้านยูโร (340 พันล้านบาท) ให้ได้ โดยบวกลบอยู่ที่ประมาณ 0.5 พันล้านยูโร (21.27 พันล้านบาท)”